กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯเตรียมอีก230ล้านช่วยไทยสู้โควิด-19

ผู้ชมทั้งหมด 2,378 

“กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ” พร้อมหนุน230ล้านช่วยไทยสู้โควิด-19″ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรงในระลอกที่ 3 “กองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19” จึงยังคงสานต่อภารกิจของการอยู่เคียงข้างคนไทย โดยมุ่งมั่นที่จะเร่งช่วยเหลือให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจรักษาได้ จากการสนับสนุนให้ทีมแพทย์และพยาบาลสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ป้องกันตัวที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วที่สุด ซึ่งตลอดระยะ 1 ปี รวมถึงการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 กองทุนมิตรผล-บ้านฯ ได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 270 ล้านบาทในการสนับสนุนบุคลากรทางการแพยท์ และโรงไฟยาบาล

โดยในระลอกที่ 3 กองทุนมิตรผล-บ้านฯ ได้มีการจัดหาและส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิทัล เครื่องช่วยหายใจ ชุด PPE และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ แก่หน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาล จำนวน 33 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี  สมุทรปราการ และปทุมธานี อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์และสิ่งของจำเป็นแก่โรงพยาบาลสนาม 9 แห่ง และโรงพยาบาลที่ดำเนินภารกิจการตรวจคัดกรองเชิงรุก นอกจากนี้ยังมีการส่งมอบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อกว่า 1 หมื่นลิตร ให้แก่หน่วยงานรัฐและภาคเอกชน รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามกองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ยังเหลือเงิน 230 ล้านจากงบทั้งหมด 500 ล้านบาท สำหรับสู้ภัยโควิด-19 ที่พร้อมช่วยเหลือโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ให้เดินหน้าภารกิจสำคัญนี้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์ในประเทศจะกลับมาสู่ภาวะปกติ  

ทังนี้ในงานแถลงข่าวออนไลน์ “กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ เคียงข้างคนไทยสู้ภัยโควิด-19” นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความพร้อมรองรับการดูแลรักษาประชาชน  เพื่อเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย และเพื่อจุดประกายให้องค์กรอื่นๆ ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นจากภัยวิกฤติโควิด-19 ได้

บ้านปูฯ คาดหวังว่าการช่วยเหลือของกองทุนฯ จะมีส่วนช่วยป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค ลดความเสี่ยงในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ โดยงบประมาณกว่า 270 ล้านบาทที่ใช้ไปคิดเป็น 54% ของเงินกองทุนทั้งหมด เราจะยังคงสานต่อภารกิจในการอยู่เคียงข้างคนไทย ด้วยการทำงานเชิงรุกเพื่อประเมินสถานการณ์ และประสานข้อมูลกับทั้งหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานที่ต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือโดยตรง เพื่อให้กองทุนฯ สามารถส่งมอบความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วที่สุด

“การดำเนินการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ในฐานะภาคเอกชน เราพร้อมจะปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการที่รัดกุมจากภาครัฐ ขณะเดียวกันก็ยินดีที่จะดำเนินการสนับสนุนด้วยทรัพยากร ศักยภาพ และเครือข่ายที่เรามี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการของกองทุนฯ จะจุดประกายให้ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศไทยให้สู้ภัยโควิด-19 ไปด้วยกันจนสำเร็จ” นายชนินท์ กล่าว

นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า วิธีการดำเนินงานของกองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ตลอดช่วงวิกฤติที่ผ่านมา คือกระจายกำลังกันไปช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในวงที่กว้างขึ้นและไม่ซ้ำซ้อนกัน เราได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของภาครัฐ เช่น กรมการแพทย์, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลราชวิถี เป็นต้น ในการชี้เป้าว่าจุดไหนที่มีความสำคัญและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และแต่ละบริษัทฯ จะใช้ทรัพยากรที่เรามี ตลอดจนเครือข่ายในต่างประเทศ เข้ามาสนับสนุนความช่วยเหลือ

โดยที่ผ่านมาเราได้สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญๆ เช่น เครื่อง CT Scan, ห้องตรวจเชื้อความดันลบ-บวก, เครื่องช่วยหายใจ, หน้ากาก N95, ชุด PPE, แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข ทหาร ตำรวจ หน่วยงานราชการต่างๆ ทั้งในระดับจังหวัดและท้องถิ่น รวมถึงชุมชนและเกษตรกรชาวไร่ที่เราดูแลอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 215 หน่วยงาน ครอบคลุม 35 จังหวัด นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลและบ้านปู ยังได้จัดทำประกันโควิด-19 ให้กับพนักงานเป็นสวัสดิการพิเศษเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ  จะติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับโควิด-19 ในประเทศต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิผล โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจำนวนผู้ป่วยในประเทศไทยจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน ทั้งสองบริษัทยังคงขับเคลื่อนการทำงานในองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยนโยบายการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System: BCMS) และนโยบาย Work from Home เต็มรูปแบบ เพื่อลดอัตราความเสี่ยงในการติดเชื้อ