“ชาร์จ แมเนจเม้นท์” รุกติดตั้ง EV Charging อีก 1,500 จ่าย ตอบสนองลูกบ้าน “แสนสิริ”

ผู้ชมทั้งหมด 590 

“ชาร์จ แมเนจเม้นท์” ผนึก “แสนสิริ” ขยายผลความร่วมมือบุกโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูง-แนวราบ ติดตั้ง EV Charging รวม 1,500 จ่าย สนองความต้องการลูกค้ายุคใหม่หันใช้พลังงานสะอาด รับเทรนด์ตลาดรถ EV ในไทยโตต่อเนื่อง

เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า(EV) ในประเทศไทย ที่กำลังเริ่มโตตามกระแสโลกหันใช้พลังงานสะอาดเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เห็นความสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เมื่อ 5 ปีก่อน ได้ตัดสินใจเข้าไปร่วมมือกับ พันธมิตรอย่าง บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ในการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ นำร่องโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ก้าวต่อไประหว่างแสนสิริ และ SHARGE เพื่อสานต่อนโยบาย Sansiri Sustainability Mission ในการร่วมสร้างปรากฎการณ์แห่งอนาคต เพื่อสร้างเทรนด์ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่นำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ได้กำหนดเป็นโรดแมป 3 ปี (2565-2567) โดยกำหนดเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการแนวสูงที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบในระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไปทุกโครงการ โดยจะติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ราว 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี ภายใต้งบลงทุน 65 ล้านบาท หรือ อยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาทต่อหัวจ่าย

โดยโครงการบ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป จะได้รับพริวิลเลจพิเศษ เป็นเครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox (Normal Charge) นำเข้าโดย SHARGE ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 4-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดรถ)  ซึ่งการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และผู้อยู่อาศัยแสนสิริในเซกเมนต์ B ขึ้นไป ที่พบว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต 

“เมื่อ 5 ปีก่อนลูกบ้านของแสนสิริ มีการใช้รถ EV ไม่ถึง 10 คันในโครงการแต่ปัจจุบัน มีค่ายรถทั้งยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เริ่มผลิตรถEV ออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้วันนี้ในโครงการน่าจะมีลูกบ้านใช้รถEVกว่า 100 คันแล้ว จึงจำเป็นต้องมีหัวจ่ายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้รถEV”

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) เปิดเผยว่า จุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากหลากหลายอุตสาหกรรม และการได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่เล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ EV ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการชาร์จรถที่บ้าน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับโรดแมปของประเทศที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเปลี่ยนแปลงการใช้ EV มากขึ้น

โดย แสนสิริ ได้ร่วมกับ SHARGE ในการออกแบบและขยายโซลูชั่นรองรับการใช้รถ EV และการเข้าถึงสถานีชาร์จ เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกบ้านแสนสิริ และนำมาสู่ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง SHARGE กับแสนสิริอีกครั้ง ด้วยการเซ็ตเทรนด์ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ในการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ในที่อยู่อาศัย ที่จะเติบโตไปตามเทรนด์ของโลกที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

“ปกติวอลุ่มของบริษัท จะติดตั้งราว 200 หัวจ่ายต่อปี แต่การขยายความร่วมมือกับแสนสิริ อีก 1,500 หัวจ่าย จะทำให้ในปีหน้าบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ทั้งนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับโรดแมป 5 ปี ของ SHARGE ที่ตั้งเป้าหมายดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยคามสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค

นายพีระภัทร กล่าวอีกว่า นโยบายส่งเสริมการใช้รถ EV ของรัฐบาลในต่างประเทศ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของรถEV เพราะมีการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนที่ชัดเจน แต่ในประเทศไทยการนำเข้ารถEV ที่มีอัตราภาษีในระดับสูงยังถือเป็นอุปสรรคและทำให้การใช้รถEV เติบโตช้า ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจใช้บริการติดตั้ง  EV Charging Station ที่มีผู้เล่นหลายเจ้านั้น บริษัท มองว่าเป็นผลดีที่จะสนับสนุนให้ตลาดรถEV เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย และผู้เล่นแต่ละรายก็จะมีความเชี่ยวชาญหรือจุดขายที่แตกต่างกัน ดังนั้น มองว่าตลาดนี้ยังมีขนาดใหญ่พอที่บริษัทจะเข้าไปขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ในอนาคต