ปตท. วางเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ผ่านกลยุทธ์ 3P

ผู้ชมทั้งหมด 1,364 

การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเป็นประเด็นที่หลายประเทศให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา ในแต่ละประเทศต่างก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันการจะผลักดันให้ประเทศก้าวสู่เป้าหมายนั้นจะต้องได้รับความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทก็มีการตั้งเป้าหมายมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายใต้การดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ได้กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปตท.วางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2040 และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero target) ในปี 2050 เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ปตท.จะดำเนินการผ่านกลยุทธ์ 3P ได้แก่

1.Pursuit of Lower Emissions ที่พร้อมผลักดันโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท.โดยคำนึงการใช้พลังงานให้คุ้มค่า การใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCS) ที่ปล่อยมาจากหน่วยผลิตกลับมาเก็บไว้ใต้ดิน โครงการนี้ได้เริ่มนำร่องแล้วที่แหล่งอาทิตย์ ในพื้นที่อ่าวไทย โดยจะเก็บได้ประมาณ 400,000 ตันต่อปี หลังจากนั้นก็จะดำเนินการลงทุนขยายไปในแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งในภาพรวมนั้นสามารถดักเก็บคาร์บอนได้ถึง 40 ล้านตันต่อปี

2.Portfolio Transformation การปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อลดการใช้ฟอสซิล และจะงดการทำธุรกิจถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2565 และตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนในพลังงานทดแทนมากขึ้น เพื่อให้มีพลังงานทดแทนเข้ามาในพอร์ตกว่า 12,000 เมกะวัตต์ในปี 2573 

3.Partnership with Nature and Society ความร่วมมือกับภาครัฐและชุมชนปลูกป่าบกและป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติอีกด้วย ปตท. มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ทั้งนี้จากการมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นล่าสุดปตท. ได้รับ รางวัลโครงการประเมินและจัดระดับธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน (Low Carbon and Sustainable Business: LCSB) ประจำปี 2565 ในระดับยอดเยี่ยม จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)