4 หน่วยงานรัฐ-เอกชน ผนึกกำลังปั่นโรงไฟฟ้าชุมชนเฟสใหม่

ผู้ชมทั้งหมด 781 

4 หน่วยงานรัฐ-เอกชน (กระทรวงพลังงาน-เกษตรฯ-ทรัพยากรฯ และ ส.อ.ท.) ลงนามบูรณาการผลักดันการผลิตพืชพลังงานป้อนโรงไฟฟ้าชุมชน เฟสใหม่ หวังดันสู่เป้าหมายผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 500 เมกะวัตต์ภายใน 10 ปีข้างหน้า เพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างแท้จริง พร้อมหนุนประเทศสู่เป้าหมายลดโลกร้อน

วันนี้(17 ธ.ค.64) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) กระทรวงพลังงาน(พน.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(กส.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร ด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงานเพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและสักขีพยานในพิธี

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงานครั้งนี้ เป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐและเอกชนเป็นครั้งแรกที่จะผลักดันให้โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเดินหน้าต่อไปให้ได้ตามเป้าหมาย 500 เมกะวัตต์ในอีก 10 ข้างหน้า จากปัจจุบันที่เริ่มนำร่องไปแล้ว 150 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เปิดประมูลไปเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีผู้ชนะประมูล 43 ราย กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 149.50 เมกะวัตต์ โดยยอมรับว่าราคาประมูลค่าไฟฟ้ายังแพงไปบ้าง(ราคาประมูลเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย) แต่เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ และการผลิตพลังงานสะอาด ถือว่าเป็นโครงการที่ประสบผลสำเร็จ

โดยเกษตรกรมีรายได้จากการรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อปลูกพืชพลังงานขายเป็นวัตถุดิบให้กับโรงไฟฟ้าชุมชน และยังได้หุ้นร่วมกัน 10% ของโครงการและรายได้รับการแบ่งปันรายได้จากการขายไฟฟ้าด้วย ขณะเดียวกันประเทศก็ได้ประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเป้าหมายของรัฐบาลที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ.2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ.2065 ที่ไทยได้ประกาศไว้บนเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26   

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน นำร่อง 150 เมกะวัตต์แรก ยังพบว่ามีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงให้โครงการในระยะต่อไปสมบูรณ์แบบ และเกิดความชัดเจนมากเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งโครงการ ซึ่งโครงการรอบใหม่ จะต้องกำหนดพื้นที่ชัดเจน และเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น” 

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับภาคการเกษตร ซึ่งเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรไทยที่มีอยู่ประมาณ 38-40 ล้านคนทั่วประเทศ หากเกษตรกรสามารถปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสมและจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงได้ จะช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรและในอนาคตภาครัฐก็สามารถลดการอุดหนุนลงภาคเกษตรลงได้ จากการที่เกษตรกรสามารถพึ่งพาตัวเองและมีรายได้มั่นคง

ปัจจุบัน กระทรวงเกษตรฯ มีแนวทางการส่งเสริมการเกษตรที่เหมาะสม ตามฐานข้อมูลแผนที่เกษตรเชิงรุก (Agri – Map) 77 จังหวัด โดยจะสนับสนุนให้ปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลผลิตให้สูงขึ้นและรายได้ที่มั่นคง รวมทั้งนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าชุมชนได้ด้วย  

ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ จะเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร การขึ้นทะเบียนเกษตรกร จดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนสนับสนุนการผลิตสินค้าเกษตรตาม Agri-Map

ขณะที่กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและบริหารจัดการพลังงาน จัดทำแผนส่งเสริมและข้อมูลที่ตั้งของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเชื้อเพลิงจากพืชพลังงานเพื่อผลิตพลังงานความร้อนเพิ่มเติม ข้อมูลความต้องการและวัตถุดิบจากพืชพลังงานในแต่ละภูมิภาค ตลอดจนวิจัยและพัฒนาพลังงานทางเลือกจากผลผลิต และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะส่งเสริมการปลูกสร้างสวนป่าเชิงเศรษฐกิจ สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับไม้เศรษฐกิจโตเร็วที่มีศักยภาพเพื่อเป็นวัตถุดิบให้แก่แหล่งผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเชื้อเพลิงจากพืชพลังงาน สนับสนุนกล้าไม้ การวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากไม้เศรษฐกิจโตเร็ว

ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะร่วมประสานนโยบายและดำเนินการร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมและพัฒนา รวมถึงศึกษาและหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอุตสาหกรรมเกษตรและโรงไฟฟ้าจากพืชพลังงาน สนับสนุนการวิจัย อบรม เผยแพร่วิชาการและเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกษตรและแหล่งผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน โดยเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงให้คำปรึกษาและเสนอแนะแก่ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง