AOTการันตี6สนามบินพร้อมรองรับเปิดประเทศ120วัน

ผู้ชมทั้งหมด 859 

AOT การันตี 6 สนามบินพร้อมรองรับการเปิดประเทศภายใน 120 วัน หลังนำร่องติดตั้งระบบ CUPPS แนะนำใช้ AOT App คาดปี 65 ผู้โดยสาร 73 ล้านคนบริหารสบาย ขณะปี 67 ผู้โดย 146 ล้านคนเกินขีดความสามารถต้องเร่งลงทุนขยาย 6 สนามบิน

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานของ AOT ทั้ง 6 แห่ง มีความพร้อมรองรับผู้โดยสารตามนโยบายการเปิดประเทศ 120 วันของรัฐบาล เนื่องจากได้ติดตั้งระบบการให้บริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) เริ่มที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ประกอบด้วยระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง ระบบเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสให้กับผู้โดยสารในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  เนื่องจากเป็นระบบที่ผู้โดยสารสามารถดำเนินการได้เอง ทั้งหมดโดยไม่ต้องเข้าคิว เพื่อรอรับบริการจากเจ้าหน้าที่ประจำเค้าเตอร์ปกติ

ทั้งนี้ระบบ CUPPS จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารได้มากขึ้น เนื่องจากผู้โดยสารสามารถทำการเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่นของ AOT App ได้ก่อนออกจากบ้าน เมื่อมาถึงสนามบินสามารถใช้บริการโหลดกระเป๋าผ่านระบบอัตโนมัติได้ หากน้ำหนักกระเป๋าเกินอัตราที่สายการบินกำหนดก็สามารถใช้บัตรเครดิตชำระส่วนต่างค่าน้ำหนักกระเป๋าได้ทันทีจากนั้นสามารถเดินเข้าสู่จุดตรวจบัตรพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Bio-metrix) เดินทางขึ้นเครื่องบินได้ต่อไป โดยการติดตั้งระบบ CUPPS และระบบการเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่นของ AOT App จะติดตั้งให้ครอบคลุมท่าอากาศยานของ AOT ทั้ง 6 แห่งภายในปี 2565

อย่างไรก็ตามในปี 2565 นั้น AOT ได้ประเมินว่าจะมีผู้โดยสารมาใช้บริการของทั้ง 6 ท่าอากาศยานประมาณ 73 ล้านคนมีศักยภาพเพียงพอต่อการรองรับผู้โดยสารได้อย่างสบาย เนื่องจากขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยาน 6 แห่งรวมกันอยู่ที่ 101 ล้านคน ดังนั้นการบริหารจัดการผู้โดยสารภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ประกอบกับมีระบบ CUPPS และระบบการเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่นของ AOT App ก็จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างสบาย

“AOT ประเมินผู้โดยสารทั้ง 6 ท่าอากาศยานของในปี 2565 คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 73 ล้านคน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2555 ขณะที่ผู้โดยสารก่อนโควิด – 19 ในปี 2562 นั้นผู้โดยสารอยู่ที่ 142 ล้านคนเกินขีดความสามารถในการรองรับ และประเมินตัวเลขผู้โดยสารในปี 2567 ไว้ที่ 146 ล้านคน เกินขีดความสามารถของท่าอากาศยาน 6 แห่งราว 40% จากความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 101 ล้านคน ดังนั้น AOT จึงมีความจำเป็นต้องเร่งขยายท่าอากาศยาน” นายนิตินัย กล่าว

นายนิตินัย กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ว่า คาดว่าในส่วนของงานโยธาจะแล้วเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ส่วนการเปิดให้บริการนั้น เดิมมีแผนจะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายน 2565

แต่แนวโน้มอาจต้องเลื่อนเปิดให้บริการเป็นเดือนตุลาคม 2565 หรือ เมษายน 2566 ส่วนจะเป็นเมื่อใดนั้น ขอพิจารณาปริมาณผู้โดยสารหลังเปิดประเทศ 120 วัน รวมทั้งการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายใต้นโยบาย “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ก่อน อย่างไรก็ตามสำหรับขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปัจจุบันอยู่ที่ 45 ล้านคน ช่วงก่อนโควิด – 19 รองรับผู้โดยสารได้ 65 ล้านคนต่อปี

ขณะเดียวกันจะขอรอดูแผนงานที่ชัดเจนของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย เนื่องจากขณะนี้มีเครื่องบินของการบินไทย 100 กว่าลำ ยังคงจอดอยู่ที่หลุมจอดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเบื้องต้นทราบว่า การบินไทยจะเริ่มนำเครื่องบินกลับไปทำการบินประมาณครึ่งหนึ่ง และน่าจะจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีกประมาณ 60 ลำ โดยในส่วนนี้ AOT จะจัดพื้นที่บริเวณโดยรอบอาคาร SAT 1 ให้จอดเครื่องบินไปก่อน ขณะเดียวกันจะเร่งรัดงานก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งตามแผนจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2566 เพราะเมื่อ ทอท. จะเปิดให้บริการอาคาร SAT 1 จะได้นำเครื่องบินการบินไทยไปจอดที่รันเวย์ 3 ได้

ส่วนความคืบหน้างานก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้นผลการศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาต้า) จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนการว่าจ้างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ศึกษาในประเด็นดังกล่าวด้วยนั้น เบื้องต้นขณะนี้ AOT ได้ทำหนังสือหารือเรื่องการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง และร่างสัญญาการว่าจ้างฯ ไอเคโอส่งไปยังกับกรมบัญชีกลาง และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาแล้ว คงต้องรอทั้ง 2 หน่วยงานตอบกลับมาก่อน จึงจะดำเนินการว่าจ้างไอเคโอต่อไปได้