BCPG วางงบ 9.5 หมื่นลบ.ลุยลงทุน 5 ปี หนุนกำลังผลิตไฟฟ้าแตะ 2,000 MW

ผู้ชมทั้งหมด 1,137 

บีซีพีจี เร่งลงทุน 5 ปี(2565-2569) อัดงบ 9.5 หมื่นล้านบาท ดันเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าโตเท่าตัวแตะ 2,000 เมกะวัตต์ หนุน EBITDA โต 35% ขณะที่ปีนี้ COD เพิ่ม 200 เมกะวัตต์ ส่งผลให้สิ้นปีนี้คาดว่า จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าแตะ 1,200 เมกะวัตต์ ดันรายได้โต 25%จากปีก่อน   

นาย นิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า แผนการลงทุนช่วง 5 ปี(ปี2565-2569) ของบริษัท ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายผลักดันกำลังผลิตไฟฟ้าในมือเติบโตขึ้นเท่าตัว แตะระดับ 2,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 1,108.4 เมกะวัตต์ ซึ่งจะโฟกัสใน 3 ธุรกิจหลัก คือ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

2) ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิต และจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ แบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ

3) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะ ให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้าน พลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ผ่าน 4 กลยุทธ์ การดำนเนงาน ได้แก่ 1.การสร้างความสมดุลในการลงทุน (Balance Portfolio) ด้วยการขยายธุรกิจทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา 2. การสร้างโอกาสเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ (Opportunity)3. ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า (Return on Investment) และ4. ต้นทุนทางการเงิน อยู่ในระดับต่ำ (Optimized Funding Cost)

ทั้งนี้ จะมุ่งหาโอกาสการเติบโตในแถบอินโดไซน่า และประเทศที่มีฐานการลงทุนอยู่แล้ว เช่น ไต้หวัน ปัจจุบัน มีกำลังผลิตในมือ 470 เมกะวัตต์ แต่มีเป้าหมายที่จะขยายเพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ในอนาคต ขณะที่ ไทย ก็อยู่ระหว่างเจรจากับหลายบริษัท และในลาว ยังมีสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนเพิ่มขนาด 1,000 เมกะวัตต์ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัท คาดว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 25% จากปี 2564 ที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบปี 2563 ขณะที่ตามแผนลงทุน 5 ปี บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และ ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) เติบโต 35%

โดยปี 2565 บริษัทฯ ได้มีการตั้งงบลงทุนที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการต่างๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และ โคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ โดยในปีนี้จะมีการนำระบบกักเก็บพลังงาน หรือ แบตเตอรี่ ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมถึงคาดว่ามีโครงการที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการมาในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ดังนั้น ปีนี้ จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) เพิ่มประมาณ 200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นปีนี้ บริษัท มีกำลังผลิตไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 1,200 เมกะวัตต์

“หลังจากขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทรับรู้กำไรในไตรมาส1 ปีนี้ราว 1,600 ล้านบาท และจะเอาเงินดังกล่าวไปลงทุนเพิ่ม ทำให้มีความสามารถระดมทุนถึง 30,000 ล้านบาท เข้ามาสนับสนุนแผนลงทุน 5 ปี”

สำหรับความคืบหน้าของการพัฒนาในโครงการที่สำคัญของบริษัทฯ ยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศแถบเอเชีย และแถบอินโดจีน (Indochina) อาทิ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศสูง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนสูง เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล ฯลฯ

นอกจากนี้ บีซีพีจี ยังได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอน โดยตั้งเป้าปลูกป่าในประเทศไทย 1000 ไร่ ใน 2 ปี และทยอยปลูกป่าในประเทศที่เรามีโครงการฯ อีกกว่า 10,000 ไร่ ขณะเดียวกันยังเป็นหนึ่งในผู้จัดตั้ง Carbon Markets Club แพลทฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการแก้ปัญหาโลกร้อนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ตามความสมัครใจอีกด้วย

ปัจจุบัน บีซีพีจี มีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งหมดภายในปี 2567