EGCO ตั้งเป้ากำไรปี65 โตใกล้เคียงปี64

ผู้ชมทั้งหมด 703 

“เอ็กโก กรุ๊ป” ตั้งเป้าหมายปี 65 มีกำไรเติบโตใกล้เคียงปี64 ที่คาดว่าจะทะลุเป้า 9% หลังเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย โกยกำไรรับดีมานด์และราคาตลาดโลกพุ่ง เตรียมเพิ่มเป้ากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่โต กว่า 1,000 เมกะวัตต์ ลุ้นปิดดีลเจรจา M&A โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2565  บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำไรเติบโตใกล้เคียงกับปี 2564 ที่คาดว่า จะมีกำไรเติบโตขึ้นทะลุ 9% โดยจะมาจากการเติบโตในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า และอาจมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดได้หากบริษัทมีโอกาสในการเข้าลงทุนธุรกิจใหม่เพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของงบลงทุนในปี 2565 นั้น ยังอยู่ระหว่างรอจัดทำแผนการลงทุนที่ชัดเจน แต่เบื้องต้นคาดว่า จะใช้งบลงทุนใกล้เคียงกับปี 2564 หรืออยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นไปในกรอบงบลงทุน 5 ปี(2564-2568) ที่บริษัทตั้งไว้อยู่ที่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกันในปี 2565 ยังเตรียมเพิ่มเป้าหมายมีกำลังผลิตใหม่ในมือเติบโตขึ้นมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากปัจจุบันยังมีการเจรจาควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในหลายโครงการ ซึ่งจะอยู่ในประเทศเป้าหมายที่บริษัทมีฐานการลงทุนอยู่แล้วใน 8 ประเทศ คือ ไทย ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา แต่หลักๆ คาดว่าจะเป็นการลงทุนในสหรัฐฯ ที่ยังมีโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจาก บริษัท ได้เข้าไปลงทุนใน “เอเพ็กซ์” บริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ เอ็กโก กรุ๊ป มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่โครงการใหม่อีกหลายโครงการในอนาคต

“สหรัฐฯ มีความต้องการพลังงานหมุนเวียน 1 ล้านเมกะวัตต์ใน 15 ปี หรือ 70,000 เมกะวัตต์ต่อปี นับว่าตลาดสหรัฐต้องการพลังงานหมุนเวียนมีขนาดใหญ่สุดในโลก และเอเพ็กซ์ ก็เป็นผู้พัฒนารายใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโต”

นอกจากนี้ ในปี 2565 คาดว่า บริษัทจะได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร(Ft) ซึ่งจะทำให้รายได้จากการขายไฟฟ้าคิดตามกิโลวัตต์ชั่วโมงจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการปรับขึ้นค่า Ft และสะท้อนไปยังกำไรของบริษัทในปีหน้า

ส่วนการเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณล่าช้า จนส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตก๊าซฯจากแหล่งในประเทศนั้น ก็คาดว่าจะมีผลกระทบต่อต้นทุนราคาก๊าซฯที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เนื่องจากจะทำให้ต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมเหลว(LNG) เข้ามาทดแทนมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซฯเฉลี่ยรวม(Pool Gas) ปรับเพิ่มขึ้น  

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัท จะได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper License) จากทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จำนวน 2 แสนตันต่อปี แต่จะนำเข้าในปีหน้าหรือไม่นั้น ยังต้องรอประเมินความเหมาะสมด้านราคาก๊าซฯ อีกครั้ง

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 ที่คาดว่า จะมีกำไรทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ระดับ 9% นั้น มาจากปัจจัยสนับสนุน เช่น การเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่เติบโตตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น การรับรู้ผลการดำเนินงานจากเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในสหรัฐ และโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง “กังดง” ในเกาหลีใต้ เป็นต้น

อีกทั้ง ยังรับรู้กำไรจากเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ที่บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นราว 40% ซึ่งปีนี้ยอดขายถ่านหินทำสถิติสูงสุด หรือ ทะลุ 1.5 ล้านตัน และราคาสูงขึ้นอย่างมากจากความต้องการใช้ถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสะท้อนต่อกำไรของบริษัทในปีนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังรอจังหวะที่เหมาะสมในการขายเหมืองถ่านหินแห่งนี้ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นจังหวะที่เอื้อต่อการขายกิจการดังกล่าวด้วย  

สำหรับทิศทางการลงทุนในอนาคต เอ็กโก กรุ๊ป ยังมุ่งต่อยอดธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน ได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงาน ที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนยังมุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573

นายเทพรัตน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 5,959 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 28 แห่ง โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้า 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 71% โดยปัจจุบันกังหันลม 2 ต้น จำนวน 16 เมกะวัตต์ ได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน และ 11 พฤศจิกายน 2564 ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ใน ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 94%

นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงาน ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการ “ขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก่อสร้างแล้วเสร็จ 89% ในขณะที่โครงการ “นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง” อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ