PTTGCยึดหัวหาดอีอีซีขยายฐานธุรกิจปลายน้ำ

ผู้ชมทั้งหมด 1,209 

PTTGC เล็งทุ่มเม็ดเงินลงทุนในอีอีซี อีก 3-5 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ต่อยอดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ ก.พ.นี้ เตรียมเดินเครื่องโรง ORP ส่วนโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 เดินเครื่องไตรมาส 1/66

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัท มีแผนที่จะขยายการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมในหลายโครง เบื้องต้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในอีอีซี อีกประมาณ 3 – 5 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

สำหรับแผนขยายการลงทุนในอีอีซีก็มองหาโอกาสซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจ Downstream หรือธุรกิจปลายน้ำ เช่น โรงงานเม็ดพลาสติก High Performance Product เพื่อให้สามารถขยายตลาดเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างได้รวดเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตามล่าสุดก็ได้ขยายโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 มูลค่าประมาณ 165 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,198 ล้านบาท ซึ่งเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา  PTTGC ได้ดำเนินการลงนามสัญญาออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ การก่อสร้าง (Engineering, Procurement & Construction) โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2

ส่วนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการขยายโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 นั้นได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตามแผนงานคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/2566 โดยโครงการนี้จะทำให้สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว  

ขณะที่ความคืบหน้าการลงทุน 3 โครงการในอีอีซี มูลค่ารวมประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้นได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ไปแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) เมื่อปลายปี 63  เพื่อผลิต PO 2 แสนตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ 1.3 แสนตันต่อปี ส่วนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน 5 แสนตันต่อปี และโพรพิลีน 2.5 แสนตันต่อปี จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.พ. 64 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการในปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ